วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ต

ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2556
ผู้ตอบสำรวจ จำแนกตามช่วงอายุ
จากผู้ตอบสำรวจ 23,907 รายนี้ พบว่าส่วนใหญ่อยู่อายุ 40-49 ปี  (กลุ่มผู้ใหญ่ ) เป็นอันดับ 1   ส่วนอันดับ 2 เป็นช่วงอายุระหว่าง 30-34 ปี  และอันดับ  3 คือช่วงอายุ 25-29 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จบใหม่ เข้าสู่วัยทำงาน
thailand-internet-user-2553-03แต่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในไทยโดยรวมแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ระดับปริญญาตรีมากสุด มากถึงร้อยละ 60
thailand-internet-user-2553-04หากจำแนกเป็นอาชีพนั้น พบว่าเป็นอาชีพข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระ มากเป็นอันดับ 1  รองลงมาเป็นพนักงานลูกจ้าง และนักเรียนนักศึกษา ตามลำดับ
thailand-internet-user-2553-05พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต พบว่า ส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ต ต่ากว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 11 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 35.7 และระหว่าง 11 – 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คิดเป็น ร้อยละ 25.8 นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 105 ชั่วโมงต่อ สัปดาห์ หรือโดยเฉลี่ยมากกว่า 15 ชั่วโมงต่อวัน สูงถึงร้อยละ 9.0 ซึ่งจะเห็น ได้ว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจาวันไปแล้วจริงๆ

thailand-internet-user-2553-06หากเปรียบเทียบย้อนหลังเป็นรายปี พบว่า จำนวนชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2544
มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 53.6 แต่ในปี 2556 ผู้ใช้ในกลุ่มเดียวกันนี้ มีสัดส่วนลดลง เหลือเพียงร้อยละ 35.7    ในขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สูงถึงร้อยละ 38.9 ซึ่งในปี 2544 มีเพียงร้อยละ 18.7 เท่านั้น  ซึ่งยอดการเติบโตผู้ใช้งาน Internet นี้ มาจาก การเชื่อมต่อแบบ Wifi
thailand-internet-user-2553-08ช่วงเวลาการใช้งานอินเตอร์เน็ตสูงสุด คือช่วงเวลากลางคืน  ระหว่าง 2 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน
thailand-internet-user-2553-09โดยหากดูช่วงอายุแล้วพบว่า กลุ่มระดับวัยเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น ช่วงอายุน้อยกว่า 15 ปี ใช้อินเทอร์เน็ตสูงในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนถึงหัวค่า (เวลา 16.01-20.00น.) คิดเป็นร้อยละ 41.2, กลุ่มระดับวัยเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายถึงมหาวิทยาลัย ช่วงอายุ 15-19 ปี และ 20-24 ปี ใช้อินเทอร์เน็ตสูงในช่วงเวลากลางคืน (เวลา 20.01-24.00 น.) คิดเป็นร้อยละ 47.0 และ 54.5 ตามลำดับ
thailand-internet-user-2553-10โดยส่วนใหญ่จะใช้งานอินเตอร์เน็ตในการเล่นเกมออนไลน์ เพราะเป็นช่วงที่เด็กๆกลับจากโรงเรียนอยู่กับบ้านแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสถานที่ ที่ส่วนใหญ่จะใช้เน็ตที่บ้านมากที่สุด รองลงมาคือที่ทำงาน

thailand-internet-user-2553-11สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานเข้าถึงอินเตอร์เน็ต พบว่า คอมพิวเตอร์ Notebook มีคนใช้งานเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น  และมีความนิยมสูงขึ้นด้วย รองลงมาคือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งแนวโน้มลดลง ในเรื่องอุปกรณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ใช้บ่อยที่สุดนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 45.0 ระบุว่า ได้แก่ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ รองลงมาคือ คอมพิวเตอร์พกพา สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตพีซี ตามลำดับ
thailand-internet-user-2553-12โดยเรื่องการเชื่อมต่อ wifi นั้น ส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ Free wifi  ของกระทรวงไอซีที มากถึง 64.8 % ส่วนคนที่ใช้งาน Free Wifi มีประมาณ 35.3%  โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม เยาวชน และกลุ่มผู้สูงอายุจะนิยมเชื่อมต่อผ่าน Free Wifi ของกระทรวงไอซีที
thailand-internet-user-2553-13จากผลสำรวจผู้ใช้อินเตอร์เน็ตว่าจะใช้งานอะไรบ้าง ที่ตอบมากที่สุดคือเช็คอีเมล  รองลงมาคือค้นหาข้อมูล ซึ่งหากดูกราฟแล้ว 2 อันดับแรกสูสีกันมาก
thailand-internet-user-2553-14หากแยกจำนวนกลุ่มอายุและรูปแบบการใช้งานอินเตอร์เน็ต พบว่า เรื่องเช็คอีเมล หาข้อมูล มีปริมาณการใช้สูง ทุกช่วงอายุ โดยเช็คอีเมล ตั้งแต่  ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป มีอัตราการใข้อีเมล สูง แต่เด็กและเยาวชนไม่ค่อยใช้อีเมล  ที่น่าสังเกตคือเกมออนไลน์ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้เน็ตในการเล่นเกมออนไลน์เป็นจำนวนมากสูงกว่าช่วงอายุอื่นๆ


ตัวอย่างเว็บไซต์ e-commerce

ตัวอย่างเว็บไซต์ e-commerce

ธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit)
    -Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมค้าระหว่างผู้บริโภค กับผู้บริโภค เช่น การเเลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน การขายสินค้ามือสอง การรับสมัครงาน


ธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit)
   -Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมค้าระหว่างผู้บริโภค กับผู้บริโภค เช่น การเเลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน การขายสินค้ามือสอง การรับสมัครงาน


ธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit)
  -Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภค กับผู้ประกอบการ เช่น การจัดตั้งเป็นกลุ่มสมาชิกหรือสหกรณ์


                                
ธุรกิจที่ค้ากำไร ({Profit)
   -Business-to-Business (B2B) เป็การทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างองค์กรธุรกิจ กับองค์กรธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจการบิน กลุ่มธุรกิจค้าส่ง


ธุรกิจที่ค้ากำไร ({Profit) 
   -Business-to-Consumer (B2C) เป็นการธุรกรรมทางการค้าระหว่างผูประกอบการ กับผู้บริโภคโดยตรง



ธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit)
   -Business-to-Employee (B2E) เป็นการทธุรกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของ Intrabusiness (Organization) e-commerce โดยมุ่งเน้นการให้บริการแก่พนักงานในด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลข่าวสาร



ธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit)
   -Government-to-Citizen (G2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างหน่วงงานภาครัฐกับประชาชน เช่น การชำระภาษี การทำบัตรประจำตัวประชาชน



วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประเภทของ E-commerce


ประเทภของ E-Commerce

  1. ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น
  2. ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือ การค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป
  3. ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือ การติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น
  4. ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G) คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัด ค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com
  5. ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C) ใน ที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย



องค์ประกอบของ E-commerce


โครงสร้างและองค์ประกอบของ E-Commerce


การทำการค้าบนเว็บไซต์นิยมแบ่งตามลักษณะของผู้ค้า และกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ค้าทำธุรกิจอยู่ด้วยซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มได้ดังนี้ คือ
Business to Business (B-to-B) : เป็นการค้าขนาดใหญ่ระหว่างองค์กรกับองค์กรซึ่งดดยทั่วไปจะเป็นสินค้าส่งออกหรือนำเข้าที่ต้องส่งสินค้าเป็นจำนวนมากๆ จะมีการชำระเงินผ่านทางระบบธนาคาร เช่น T/T , L/C Business to Consumer (B-to-C) : เป็นการค้าปลีกไปยังผู้บริโภคทั่วโลกหรือภายในท้องถิ่นของตน ในส่วนนี้อาจจะรวมการค้าปลีกแบบล็อตใหญ่หรือเหมาโหล หรือค้าส่งขนาดย่อยไว้ด้วย ซึ่งการชำระผ่านระบบบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม การค้าแบบ B-to-C นี้มันทำให้เกิดการค้าแบบ B-to-B ในอนาคตได้ และหลายบริษัทฯ มักทำกิจกรรมสองอย่างนี้ในคราวเดียวกันConsumer to Consumer : เป็นการค้าปลีกระหว่างบุคคลทั่วไป หรือระหว่างผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ตด้วยกัน เช่น อาจจะเป็นการขายสินค้าหรือข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้งานแล้ว รวมทั้งการขายซอฟต์แวร์ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีเป็นจำนวนมากทีเดียวที่เปิดเว็บไซต์มาเพื่อขายซอฟต์แวร์ที่ตนเองพัฒนาขึ้นมา ซึ่งผู้พัฒนาอาจจะเป็นเพียงนักเรียนหรือนักศึกษาเท่านั้น ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นการแบ่งกลุ่มแบบคร่าวๆเท่านั้นที่จะช่วยให้ตัดสินใจว่าจะดำเนินแนวทางธุรกิจไปในรูปแบบใดในการทำธุรกิจบนเว็บซึ่งถือเป็นการเลือกคู่ค้าไปในตัว และจะต้องเตรียมตัวในลักษณะใดในการทำธุรกิจประเภทนั้น
 

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)

ความเป็นมาของอิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 1970 โดยเริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงาย และในช่วงเริ่มต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทเล็กๆ มีจำนวนไม่มากนัก ต่อมาเมื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI) ได้แพร่หลายขึ้น ประกอบกับคอมพิวเตอร์พีซีได้มีการขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพัฒนาด้านอินเทอร์เน็ตและเว็บ ทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในปัจจุบันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การโฆษณา การซื้อขายสินค้า การซื้อหุ้น การทำงาน การประมูล และการให้บริการลูกค้า
ความหมาย
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยครอบคลุมถึงการซื้อขายสินค้า/บริการ การชำระเงิน การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต
กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
• แอพพลิเคชั่นของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
• ปัจจัยทางการบริหาร
• โครงสร้างพื้นฐาน
ประเภทสินค้าของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
สำหรับสินค้าที่ซื้อขายในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จำแนกได้ดังนี้
• สินค้าที่มีลักษณะเป็นข้อมูลดิจิทัล (Digital Products)
• สินค้าที่ไม่ใช่ข้อมูลดิจิทัล (Non-Digital Products) 



ข้อดี
1.ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางไปซื้อสินค้า เพียงแค่เลือกซื้อผ่านเว็บไซต์เท่านั้น
2.ประหยัดเวลาในการติดต่อ แค่ใช้เวลาไม่นานแค่เพียงไม่กี่วินาทีเราก็สามารถติดต่อซื้อสินค้าได้
3.การ เปิดร้านค้าในอินเทอร์เน็ตเป็นการขยายตลาดสู่ทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะแค่ในประเทศ และยังทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการได้เลือกซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
4.ผู้ขายสามารถเปิดร้านได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้าได้ทุกวัน
ข้อเสีย
1.ผู้ซื้ออาจไม่แน่ใจว่าสั่งซื้อแล้วจะได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือสินค้าชำรุดเสียหายหรือสูญหาย
2.สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ
3.เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย
4.ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้
5.ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัยในข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ



ความรู้เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต

  ความหมายของอินเตอร์เน็ต


     อินเทอร์เน็ต (Internet) นั้นย่อมาจากคำว่า International network หรือ Inter Connection  network หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมโยงด้วย TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เดียวกันเป็นข้อกำหนด เพื่อให้เกิดการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน วิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายด้วยโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้