วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การป้องกันและกำจัดการไวรัส

ไวรัสคอมพิวเตอร์ และการป้องกันไวรัส


1. ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมที่มีเจตนาไม่ดีต่อคอมพิวเตอร์  คืออะไร
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมาไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
ในขณะที่ไวรัสโดยทั่วไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย (เช่น ทำลายข้อมูล) แต่ก็มีหลายชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น ไวรัสบางชนิดนั้นจะมีการตั้งเวลาให้ทำงานเฉพาะตามเงื่อนไข เช่น เมื่อถึงวันที่ที่กำหนด หรือเมื่อทำการขยายตัวได้ถึงระดับหนึ่ง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะเรียกว่า บอมบ์ (bomb) หรือระเบิด ระเบิดเวลาจะทำงานเมื่อถึงวันที่ที่กำหนด ส่วนระเบิดเงื่อนไขนั้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการกระทำเฉพาะซึ่งเป็นตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีผลเสียที่เกิดจากการแพร่ขยายตัวของไวรัสอย่างไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นการบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างไร้ประโยชน์ หรืออาจจะบริโภคไปเป็นจำนวนมาก
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ไวรัส (Virus) เป็นมัลแวร์ (Malware) ชนิดแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้และอยู่มานาน ดังนั้นโดยทั่วไปตามข่าวหรือบทความต่างๆที่ไม่เน้นไปทางวิชาการมากเกินไป หรือเพื่อความง่ายและคุ้นเคยที่จะพูด ก็จะใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Malware แต่ถ้าจะคิดถึงความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตาม จึงกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Worm, Trojan, Spyware, Adware เป็นต้น ที่ถูกต้องควรใช้คำว่ามัลแวร์ (Malware) เพราะมัลแวร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน
2. ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมที่มีเจตนาไม่ดีต่อคอมพิวเตอร์  แบ่งเป็นหมวดหมู่ หรือประเภทอย่างไรบ้าง

ไวรัสคอมพิวเตอร์ในโลกนี้มีนับล้านๆ ตัวแต่คุณรู้ใหมครับว่าดดยพื้นฐานของมันแล้วมาจากแหล ่งกำเหนิดที่เหมือนๆ กันซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ออกมา ได้ดังนี้


1. บูตเซกเตอร์ไวรัส (Boot Sector Viruses) หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัส
ที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์ การใช้งานของบูตเซกเตอร์ คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน
ขึ้นมาครั้งแรก เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้ใช้ในการเรียก
ระบบปฏิบัติการขึ้นมาทำงาน 

การทำงานของบูตเซกเตอร์ไวรัสคือ จะเข้าไปแทนที่โปรแกรมที่อยู่ในบูตเซกเตอร์ โดยทั่วไปแล้วถ้าติดอยู่ในฮาร์ดดิสก์ จะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Partition Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น ถ้าบูตเซกเตอร์ของดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมา เมื่อมีการเรียนระบบปฏิบัติการ จากดิสก์นี้ โปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยค วามจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรม มา ก่อนที่จะไปเรียนให้ระบบปฏิบัติการทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

2. โปรแกรมไวรัส (Program Viruses) หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่ง
ที่จะติดอยู่กับโปรแกรม ซึ่งปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปอยู่ใน
โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น SYS ได้ด้วยการทำงานของไวรัสประเภทนี้ คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อนและจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไ ปอยู่ในหน่วยความจำทันทีแล้วจึงค่อยให้โปรแกรมนั้นทำ งานตามปกติ เมื่อฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำแล้วหลังจากนี้หากมีการ เรียกโปรแกรมอื่น ๆ ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสจะสำเนาตัวเองเข้าไปในโปรแกรมเหล่านี้ทันที เป็นการแพร่ระบาดต่อไป 

นอกจากนี้ไวรัสนี้ยังมีวิธีการแพร่ระบาดอีกคือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่มีไวรัสติดอยู่ ตัวไวรัสจะเข้าไปหา โปรแกรมอื่น ๆ ที่อยู่ติดเพื่อทำสำเนาตัวเองลงไปทันที แล้วจึงค่อยให้โปรแกรมที่ถูกเรียกนั้นทำงานตามปกติต่ อไป 

3. ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโ ปรแกรมธรรมดา ทั่ว ๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียนขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมา ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรมพร้อมชื่อรุ่นและคำ อธิบาย การใช้งาน ที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ 

จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจันคือเข้าไปทำอันตรายต่อ ข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์เพื่อที่จะล้วง เอาความลับของระบบคอมพิวเตอร์ ม้าโทรจันถือว่าไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดด ๆ และจะไม่มีการ

เข้าไปติดในโปรแกรมอื่นเพื่อสำเนาตัวเอง แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้ เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ที่มี ม้าโทรจันอยู่ในนั้นและนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโป รแกรมที่มีความอันตรายสูง เพราะยากที่จะตรวจสอบและ สร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบต์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมม้าโทรจันได้ 

4. โพลีมอร์ฟิกไวรัส (Polymorphic Viruses) เป็นชื่อที่ใช้เรียกไวรัสที่มีความสามารถในการแปรเปล ี่ยนตัวเอง ได้เมื่อมีการสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจัดโดยโปรแกรมตรว จหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว ไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ ้นเรื่อย ๆ 

5. สทิลต์ไวรัส (Stealth Viruses) เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อกา รตรวจจับได้ เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรม ใดแล้วจะทำให้ขนาดของ โปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทิสต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริงของโปรแกรมที่เพิ่มข ึ้นได้ 

เนื่องจากตัวไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR หรือโปรแกรมใดก็ตามเพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิม ทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

6. Macro viruses จะติดต่อกับไฟล์ซึ่งใช้เป็นต้นแบบ (template) ในการสร้างเอกสาร (documents หรือ spreadsheet) หลังจากที่ต้นแบบในการใช้สร้างเอกสาร ติดไวรัสแล้ว ทุก ๆ เอกสารที่เปิดขึ้นใช้ด้วยต้นแบบอันนั้นจะ

3. บอกรายละเอียด ลักษณะสำคัญของ ไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมที่มีเจตนาไม่ดีต่อคอมพิวเตอร์ ประเภทต่างๆ

บูตไวรัส

บูตไวรัส (boot virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มทำการบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที
บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต นามสกุล.exe โปรแกรมประเภทแชร์แวร์เป็นต้น


หนอน

หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้ง หมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไวรัสที่ไม่สามารถสแกนได้


อื่นๆ


โทรจัน

ม้าโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำการบางอย่าง ในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของม้าไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดนั้น ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจัน (คอมพิวเตอร์)จะถูกแนบมากับ อีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง



4. บอกวิธีการป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมที่มีเจตนาไม่ดีต่อคอมพิวเตอร์



ขั้นตอนการทำ Sysclean
1. เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ Log On บนโดเมน TGFOREST (หากทำการ Log On บนโดเมน (Domain)ไม่ได้ ให้ตรวจสอบได้จาก วิธีการ Log On บน Domain)
2. Map Network Drive โดย Clickขวา ที่ My Netwark Places หรือ Network Neiborhood แล้วเลือกที่ Map Network drive...
คลิกขวาที่ My Netwark Places
3. ช่อง Path ให้ใส่ \\software\sysclean หรือ \\software\sw (หากมีเครื่องหมายถูกหน้าช่อง Reconnect at log on ให้เอาออก)
หน้าต่างของการทำ Map Network drive...
แล้วกด OK ปุ่ม OK
Icon My Computer
4. เปิด My Computer  แล้วเข้าไป

ยัง Driveที่ Map มาจากขั้นตอนใน หัวข้อที่ 2 และ 3
Drive ที่ได้จากการ Map
สำหรับ Windows ME มี้วิธีการทำดังนี้
1. คลิกขวาที่ My Computer บน Desktop และคลิกเลือกที่เมนู Properties
2. คลิกที่ Performance Tab
3. คลิกที่ File System Button
4. คลิกที่ Troubleshooting Tab
5. เลือก Disable System Restore แล้วกด OK
6. คลิก Apply > Close > Close
7. ถอดสายแลนออกก่อนที่จะ Restart เครื่อง
8. เมื่อขึ้นปุ่ม Restart ให้คลิก Yes 
9. กด F8 ขณะที่เครื่องกำลัง Restart ใหม่
10. เลือก Safe Mode แล้วกด Enter จะปรากฎหน้าจอ Safe Mode
หน้า Safe Mode ของ Windows XP
11. เมื่อเข้าสู่ Windows ใน Safe Mode แล้ว ให้เข้าไปที่ My Computer Icon My Computer และเข้าไปยัง Folder Sysclean  ที่ Copy ไว้
12. เปิด Program Sysclean ที่ Icon syscleanIcon ที่ใช้เปิด Program Sysclean จะแสดงปรากฎหน้าจอของ Program
หน้าต่าง Program Sysclean
แล้วทำการสั่ง Scan โดยกดปุ่ม Scan  หรือกด Enter
13. รอจนกระทั่ง Program Sysclean Scan เสร็จเรียบร้อย ให้ Restart Windows และเข้าสู่ Windows ตามปกติ
14. เมื่อเข้าสู่ Windows แล้วให้ทำการ Scan ด้วย Office Scan อีกครั้งหนึ่ง
Office Scan...
15. หลังจากฆ่าไวรัสเรียบร้อยแล้ว ให้อ่านวิธีป้องกันไวรัสได้ที่หน้า วิธีป้องกันไวรัส

สำหรับ Windows XP มีวิธีการทำดังนี้
1. Log on โดยใช้ User ที่เป็น Administrator ของเครื่อง
2. คลิกขวาที่ My Computer บน Desktop และคลิกเลือกที่เมนู Properties
3. คลิกที่ System Restore Tab
4. เลือก Turn Off System Restore
5. คลิก Apply > Yes > OK
7. ถอดสายแลนออกก่อนที่จะ Restart เครื่อง
8. เมื่อขึ้นปุ่ม Restart ให้คลิก Yes
9. กด F8 ขณะที่เครื่องกำลัง Restart ใหม่
10. เลือก Safe Mode แล้วกด Enter จะปรากฎหน้าจอ Safe Mode
หน้า Safe Mode ของ Windows XP
11. เมื่อเข้าสู่ Windows ใน Safe Mode แล้ว ให้เข้าไปที่ My Computer Icon My Computer และเข้าไปยัง Folder Sysclean  ที่ Copy ไว้
12. เปิด Program Sysclean ที่ Icon syscleanIcon ที่ใช้เปิด Program Sysclean จะแสดงปรากฎหน้าจอของ Program
หน้าต่าง Program Sysclean
แล้วทำการสั่ง Scan โดยกดปุ่ม Scan  หรือกด Enter
13. รอจนกระทั่ง Program Sysclean Scan เสร็จเรียบร้อย ให้ Restart Windows และเข้าสู่ Windows ตามปกติ
14. เมื่อเข้าสู่ Windows แล้วให้ทำการ Scan ด้วย Office Scan อีกครั้งหนึ่ง
Office Scan...
15. หลังจากฆ่าไวรัสเรียบร้อยแล้ว ให้อ่านวิธีป้องกันไวรัสได้ที่หน้า วิธีป้องกันไวรัส


5. ยกตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้ในการป้องกัน และกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ 

ถ้าเกิดว่าเครื่องของคุณมีอาการแปลกๆอย่างเช่นอยู่ดีๆมีข้อความแปลกๆที่ไม่น่าจะเป็นของโปรแกรมที่ใช้อยู่เป็นประจำเด้งขึ้นมาคอมช้ากว่าปกติ หรือการแสดงผลของหน้าจอผิดเพี้ยนไปผมขอบอกว่าคุณโชคดีแล้วล่ะครับที่คุณสามารถสังเกตเห็นเจ้าไวรัสเหล่านี้เพราะไวรัสส่วนใหญ่ในปัจจุบันต่างใช้วิธีติดตั้งอยู่ในเครื่องอย่างแนบเนียนไม่ให้เจ้าของเครื่องรู้ว่าโดนติดตั้งอยู่แต่จะคอยดักจับข้อมูลต่างๆเช่น รหัสบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญๆในเครื่อง การรู้ว่าไวรัสนั้นมีอยู่ในเครื่องของเราเป็นสิ่งที่ดีกว่าโดยขโมยข้อมูลโดยไม่รู้ตัวเยอะครับ
เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่าก่อนอื่นถ้าเรารู้ตัวแล้วว่าเครื่องเราติดไวรัสให้ทำการตัดการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตทันทีครับ เพราะเจ้าไวรัสพวกนี้ปกติแล้วมันจะไม่ได้เข้ามาตัวเดียวหรอกแต่พอมันเข้ามาได้แล้วมันจะเปิดช่องให้พวกเพื่อนๆของมันเข้ามากันตรึมครับ ปิดเน็ตไปเลยปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับจากนั้นให้ดูตามรูปที่ผมวาดไว้ข้างล่าง ยกตัวอย่างนะครับถ้าสมมุติกว่าคอมคุณติดไวรัสคุณก็ต้องดูว่าตอนนี้คุณเข้าใช้งานวินโดวได้ตามปกติหรือไม่ถ้าได้ก็ให้ไปหัวข้อ B ลองทำ System Restore ดูครับว่าหายรึป่าว ถ้าไม่หายอีกก็ให้ไปที่หัวข้อ C ลองใช้แอนตี้ไวรัสสแกนแล้วลบดูว่าช่วยได้หรือไม่ถ้ายังไม่ได้อีกผมก็แนะนำตามหัวข้อ D ก็คือโหลดแอนตี้ไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง (แต่เป็นเวอร์ชั่นทดลองใช้งานฟรี)มาลองจัดการไวรัสดูครับ ถึงตอนนี้ถ้าหายก็จบครับสบายใจได้ แต่ถ้าไม่หายล่ะก็...คงถึงเวลาต้องลงวินโดวใหม่หมดแล้วล่ะครับ แก้เสร็จแล้วก็อย่างลืมป้องกันไว้ก่อนนะครับ คราวหน้าจะได้ไม่ติดอีก
 
A: ถ้าหากพ่อแม่พี่น้องไม่สามารถเข้าวินโดวตามปกติได้เลย อันนี้อาการค่อนข้างโคม่าทีเดียวล่ะครับสงสัยว่าคงติดไวรัสมานานแล้วแต่ไม่ได้จัดการ เลยโดยไวรัสมันจัดการซะก่อนอันนี้ผมแนะนำให้ตอนเปิดเครื่องมา หรือตอนบูตเครื่องนั่นแหละ ให้กดปุ่ม F8 รัวๆครับ แล้วมันจะมีหัวข้อให้เลือกหลายอันครับให้เลือกหัวข้อ Safe mode ครั(ในโหมดนี้จะเป็นการเรียกเฉพาะโปรแกรมพื้นฐานบนเครื่องขึ้นมาใช้เท่านั้นซึ่งผมก็หวังว่าในโหมดนี้พวกไวรัสก็จะไม่ถูกเรียกขึ้นมาด้วยเหมือนกัน) ถ้าเข้า Safemode ได้แล้ว แล้วดูเหมือนว่าจะใช้งานได้ค่อนข้างปกติ(ซึ่งสีของจออาจจะดูเพี้ยนๆไปบ้าง) ให้ทำตามในข้อ B ต่อไปครับ แต่ถ้า Safe mode เข้าไปแล้วยังมีปัญหา หรือเข้าไม่ได้ ผมแนะนำข้อE ลงวินโดว์ใหม่ครับ
  
{รูปนี้เป็นภาพของ safe mode ครับ การแสดงผลหน้าจออาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างแล้วถ้าสังเกตบริเวณมุมขวาล่างของหน้าจอจะเห็นว่าในโหมดนี้วินโดวจะโหลดเฉพาะโปรแกรมที่จำเป็นจริงๆเท่านั้นขึ้นมา}

B: หนทางแรกที่ผมจะแนะนำหลังจากเข้าวินโดวได้แล้วคือ การย้อนเวลากลับไปสู่อดีตที่ยังไม่ติดไวรัสครับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายทีเดียวครับ คือให้กดปุ่ม Start Menu แล้วเลือก AllPrograms เลือก Accessories => System Tools => System Restore
 
เสร็จแล้วกด next แล้วให้เราเลือก วันเวลาก่อนหน้าที่จะติดไวรัสลองนึกดูครับว่าอาการแปลกๆมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เลือกช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเลยครับ
 
ง่ายมั้ยล่ะครับแค่ย้อนเวลาแต่โดยส่วนมากแล้วพวกไวรัสจะรู้ทันมุขนี้อยู่เสมอๆ มันก็จะพยายามขัดขวางไม่ให้เราทำSystem Restore ซึ่งถ้าไวรัสในเครื่องคุณขัดขวางไม่ให้ System Restore ทำงานได้สำเร็จแล้วล่ะก็ไปต่อข้อ C เลยครับ

C: ถ้ามาถึงตอนนี้เจ้าไวรัสยังไม่ยอมลาจากคอมของเราแล้วล่ะก็ต้องให้พระเอกช่วยแล้วหล่ะครับ
-             ในกรณีที่เครื่องคุณมีโปรแกรม antivirus อยู่แล้วให้ทำการอัพเดตตัวโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดแล้วสแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ดูครับ
-             แต่ถ้าคุณยังไม่มีโปรแกรม antivirus ในเครื่องก็ให้โหลดโปรแกรมที่ผมแนะนำไว้ในหัวข้อวิธีการป้องกันไวรัสมาใช้ครับแต่อย่าลืมอัพเดตให้เป็นตัวล่าสุดก่อนนะครับ จากนั้นก็ลองสแกนเครื่องดูกันเลย
 
{รูปนี้เป็นโฉมหน้าโปรแกรม Avast Home Edition ที่ผมแนะนำครับให้กดปุ่มขวาบนที่เป็นเหมือนรูปฮาร์ดดิส แล้วกดปุ่มสามเหลี่ยมทางด้านซ้ายที่เหมือนๆปุ่มเพลย์เวลาดูหนังอะครับ}
 
{รูปนี้เป็นรูปโปรแกรม Malwarebyte's antimalware ครับให้เลือกแถบที่ชื่อว่า update ก่อนเผื่ออัพเดตตัวโปรแกรมเป็นตัวล่าสุด}
 
{เสร็จแล้วก็สแกนกันเลยครับ กดเลือก perform full scan ไปเลย}
หลังจากสแกนเสร็จเราก็มาดูครับว่าคอมพิวเตอร์ของเราเข้าสู่ภาวะปกติรึยังถ้ายังอีกล่ะก็ไปต่อข้อ D

D: ถ้าใช้โปรแกรมในข้อ C ไปแล้วยังไม่ได้ผล ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนครับว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแต่ล่ะตัวนั้นมีประสิทธิภาพการทำงานที่แตกต่างกันตัวที่ผมแนะนำไปในข้อ C เป็นของฟรีครับซึ่งต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพอาจจะต่ำกว่าโปรแกรมเสียตังอยู่พอสมควรถ้าโปรแกรมที่ผมแนะนำไปยังใช้ไม่ได้ผล สงสัยต้องลองโปรแกรมเสียตังกันแล้วครับแต่เด๋วก่อนนะครับ ตามหัวข้อบทความข้างบนผมไม่ยอมให้พ่อแม่พี่น้องเสียตังค์กันหรอกครับ คืออย่างงี้ครับเราโชคดีอย่างมากที่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ไม่ฟรีนั้น ถึงแม้มันจะไม่ฟรีแต่ว่าเราสามารถดาวโหลดมาทดลองใช้ได้ฟรีเป็นเวลา30 วันครับ โปรแกรมที่ผมอยากจะแนะนำทุกท่านคือ Kaspersky Internet Security 2009 ดาวโหลดฟรีได้จากเว็บhttp://www.kaspersky.com/trials เลยครับ ก่อนหน้าติดตั้งKaspersky Internet Security 2009ให้uninstallโปรแกรม antivirus ที่มีอยุ่ในเครื่องทั้งหมดออกก่อนนะครับ
 
{ตามสูตรครับ กด update ก่อน หลังจากนั้นก็สแกนหาไวรัสกันเลย}
หลังจากทำตามวิธีข้อ D แล้วจะต้องมีคนอยู่ 2 กลุ่มครับกลุ่มแรกคือหายเป็นปกติครับ อันนี้ผมขอแสดงความดีใจด้วยแต่อย่าลืมครับว่าโปรแกรมที่เราโหลดมานั้นเป็นเวอร์ชั่นทดลองครับ ใช้งานได้แค่ 30วัน หลังจาก 30 วันไปแล้วแล้วแต่คุณแล้วล่ะครับว่าพอใจกับการใช้งานของตัวโปรแกรมหรือไม่ถ้าถูกใจก็ไปหาซื้อเลยก็ได้ครับ เข้าใจว่าราคาไม่เกิน 1000 บาทแต่ถ้าคุณอยากประหยัดเงินแล้วล่ะก็ ใช้โปรแกรมฟรีที่ผมแนะนำไปก็ได้ครับแล้วก็อ่านวิธีการป้องกันไว้ก่อนด้วย ในบทความตอนที่ 1 ผมว่าก็น่าจะโอเคแล้วนะ
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่หายแล้วล่ะก็ มันก็เป็นไปได้ว่าไวรัสในเครื่องคุณมันโหดจริงๆหรือไม่ก็เป็นตัวที่พึ่งออกใหม่จริงๆอันนี้ผมแนะนำให้รอไปก่อนอีกซัก 1 อาทิตย์ เพราะคนทำโปรแกรมของ kaspersky เค้าอาจจะหาวิธีแก้ไขไวรัสตัวนี้ได้แล้วก็ปล่อยมาให้เราอัพเดตโปรแกรมต่อไป (เราก็รออัพเดตโปรแกรมแล้วสแกนดูทุกวันครับ)แต่ถ้าผ่านไปอาทิตย์นึงแล้วยังไม่มีไรดีขึ้น หรือคุณขี้เกียจรอแล้วล่ะก็... ตามข้อE เลยครับ ลงวินโดวใหม่!

E: ถ้าหมดทางเลือกแล้วจริงๆ ผมก็แนะนำให้ลงวินโดวใหม่ครับแต่หลังจากลงวินโดวใหม่แล้วผมแนะนำให้ป้องกันไวรัสไว้ก่อนก็ดีนะครับ โดยเฉพาะ flashdriveหรือexternal harddisk ที่เคยเสียบกับคอมตอนก่อนลงวินโดวใหม่ มันอาจจะมีไวรัสอยู่ก็ได้แนะนำให้อ่าน ลาก่อนเจ้าไวรัสตัวร้าย: วิธีป้องกันและกำจัดไวรัสฉบับอ่านง่ายรวดเร็ว ด้วยวิธีแบบฟรีๆ ตอนที่1

หมายเหตุ ในบทความนี้ผมจะใช้คำว่าไวรัสตลอด เพราะไม่อยากให้ผู้อ่านสับสน แต่จริงๆแล้ว ใช้คำว่าไวรัสมันก็ไม่ถูกซะทีเดียวผมเลยคิดว่าน่าจะให้ความหมายของคำศัพท์ เอาไว้ด้วย ตามนี้ครับ 
• Virus: เป็นตัวที่ก่อปัญหา เช่น ลบไฟล์เอกสารสำคัญทำให้เครื่องเปิดไม่ได้ เป็นต้น แต่ปัจจุบันลดจำนวนลงค่อนข้างมาก เพราะคนสร้างไวรัสสร้างไปแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
• Malware: เป็นชื่อเรียกรวมๆของ spywareadware พวกนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะมันสามารถขโมยรหัสบัตรเครดิต, password อีเมล พูดง่ายๆคือ มันจะขโมยตังค์คนที่โดนนั่นเอง หรือบางทีมันก็ขึ้นมาเป็นโฆษณาที่สร้างความลำคาญก็มีเหมือนกัน
• Trojan: เหมือนกับม้าโทรจันในหนัง troy คือ ถ้ามันเข้ามาในเครื่องแล้วมันจะเปิดประตูให้ไวรัส และมัลแวร์จำนวนมากเข้ามาในเครื่องได้ ถ้าเครื่องติดโทรจันถือว่าอาการหนัก  ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูงมาก
• Rootkit: ขออธิบายว่าโหดมาก คือถ้าติดแล้วโอกาสที่จะแก้ได้ยาก rootkit จะเป็นเหมือนโทรจัน หรือไวรัสขั้นสูงสามารถหลบหลีกการตรวจจับของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสได้ หรือถ้าตรวจจับได้ก็อาจจะกำจัดไม่ได้ ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
• Antivirus software: กำจัดไวรัสได้อย่างเดียว กำจัด malware ได้บ้าง และอาจจะกำจัดโทรจันได้ ถ้าติดตั้งantivirus software แนะนำให้ติดตั้ง antispyware software เพิ่มด้วย

antivirus ที่แนะนำคือ avast home edition (สาเหตุที่แนะนำเพราะมันทำงานได้เร็วมากและฟรีด้วย) 
• Antispyware software: ส่วนใหญ่จะกำจัดได้แต่ spyware อย่างเดียว แต่ก็มีประโยชน์มาก เพราะปัจจุบัน spyware ได้รับความนิยมอย่างมาก
โปรแกรมที่แนะนำคือ malwarebyte’s anti-malware (ฟรี)
• Internet security: เป็นชุดโปรแกรมที่รวม anti-virus, anti-spyware, firewall, anti-phishingand anti-rootkit เข้าด้วยกัน โปรแกรมแบบนี้ดีสุด ป้องกันได้สูงสุด
โปรแกรมที่แนะนำคือ Nortoninternet security (ราคาประมาณ 1000 บาท)
• Firewall: เป็นเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองจะช่วยป้องกันโทรจันและป้องกันเครื่องไม่ให้ถูกแฮ็ก
• Anti-phishing: คือ สมัยนี้จะมีการสร้างหน้าเว็บหลอกขึ้นมาเพื่อหลอกขโมยพาสเวิร์ดบัตรเครดิตถ้า เราดันกรอกข้อมูลลงไปในเว็บหลอกซึ่งทำได้เหมือนหน้าเว็บจริงๆอย่างมาก เราก็โดนขโมยตังค์ (ส่วนใหญ่พวกนี้จะส่งลิ้งเว็บหลอกมาทางอีเมลล์ ซึ่งก็มีความเป็นได้ว่าเครื่องคอมของท่านโดน spyware มาก่อนแล้วแฮกเกอร์จึงรุ้ว่าคุณทำธุรกรรมการเงินผ่านเว็บไหนบ้างแล้วจึงทำ เว็บหลอกที่เหมือนจริงออกมา)


6. ดาวน์โหลด โปรแกรม Nod32 พร้อมแสดงวิธีการติดตั้งและใช้งาน รวมทั้งวิธีการอัพเดท ให้ทันต่อไวรัส


NOD32 วิธีการติดตั้ง

เรามาดูการติดตั้ง NOD32 กับ 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณได้มีโปรแกรมป้องกันไวรัสดี ๆ แบบนี้ไว้ใช้งานกัน
NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 1
Figure 1: NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 1
NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 2
Figure 2: NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 2
NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 3
Figure 3: NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 3
NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 4
Figure 4: NOD32 วิธีการติดตั้ง ขั้นตอนที่ 4
NOD32 วิธีการติดตั้ง หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น
Figure 5: NOD32 วิธีการติดตั้ง หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น
หลังจากติดตั้ง NOD32 เสร็จแล้ว ก็จะพบกับหน้าตาแบบนี้ บางทีมันอาจจะไปหน้าหลักก็ได้ แต่อันนี้มันจะเด้งมาหน้าที่ถามว่าคุณต้องการสแกนไวรัสในคอมพิวเตอร์เลยหรือไม่? ถ้าคุณยังไม่ต้องการสแกนอะไร ก็ปล่อยทิ้งไว้ก่อน เรามาดูขั้นตอนการใช้งานแบบภาษาไทยกันคร่าวๆ ว่า โปรแกรมสแกนไวรัสขั้นเทพNOD32 ของเราจะมีความสามารถและลูกเล่นอะไรบ้าง?

NOD32 วิธีการใช้งาน

หลังจากติดตั้งไปแล้ว ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น เรามาดูความสามารถและอธิบายส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรม NOD32 กันว่า มันมีความสามารถอะไรบ้าง? มันทำอะไรได้บ้าง? และมันจะเจ๋งซักแค่ไหน? และทำไมคนไทยทั้งประเทศถึงเทใจให้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวนี้เป็นพิเศษ (ไม่ทุกคน) รวมถึงตัวผู้โพสด้วย ^__^
NOD32 อัพเดต
Figure 6: NOD32 อัพเดต
เริ่มต้นด้วยการ อัพเดต NOD32 (UPDATE NOD32) กันก่อนเลย เพื่อให้ฐานข้อมูลไวรัสเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด และเพื่อให้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง ถ้าหากเราไม่ทำงานอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่อย่างสม่ำเสมอ หรือฐานข้อมูลไวรัสไม่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด จะมีผลกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ที่ออกมา เพราะว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะไม่สามารถตรวจจับได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นควรให้ความสำคัญกับการอัพเดตแอนตี้ไวรัสของคุณบ่อย ๆ นะจ๊ะ

NOD32 การตั้งค่าโปรแกรม
Figure 7: NOD32 การตั้งค่าโปรแกรม
หลังจากอัพเดตไปแล้ว เรามาดูส่วนของ การตั้งค่าโปรแกรม NOD32 กันบ้าง ต้องบอกก่อนเลยว่าค่าพื้นฐานของเค้าที่ทางผู้พัฒนาเค้าตั้งค่ามาให้นั้นก็โอเครอยู่แล้ว แต่หากต้องการตั้งค่าหรือเพิ่มความสามารถของโปรแกรมเป็นพิเศษ เราก็สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้เช่นกัน อย่างเช่น การตั้งค่าให้ NOD32 ทำงานแบบ Real-Time ของการทำงานโปรเซสในคอมพิวเตอร์ อะไรจะทำงานก็ต้องขออนุญาติจากเราก่อน แบบนี้ก็ดีไปอย่าง แต่ข้อเสียคือเวลาจะรันโปรแกรมอะไรซักอย่าง ก็ต้องถามเราตลอด ถ้าผู้ใช้งานเองไม่รำคาญก็ไม่เป็นไร มันก็เพิ่มคุณภาพของแอนตี้ไวรัสได้อีกทางเช่นกัน

NOD32 ตัวเลือกการสแกนไวรัส
Figure 8: NOD32 ตัวเลือกการสแกนไวรัส
ในส่วนนี้จะเป็นการเลือกให้ NOD32 ทำการสแกนไวรัสแบบไหน เช่นแบบกำหนดเอง ก็จะเลือก Drive ที่ต้องการแสกนได้ รวมไปถึงเลือก Processing ที่กำลังทำงานอยู่ได้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ โหลดโปรแกรม NOD32 เลยก็ว่าได้ เพราะสามารถเจาะจงที่จะสแกนส่วนใดส่วนหนึ่งได้ แต่หากไม่ต้องการเจาะจงอะไร ให้เลือกแบบสมาร์ท โปรแกรมจะทำการสแกนไวรัสให้อัตโนมัตินั่นเอง

NOD32 เริ่มต้นกระบวนการค้นหาไวรัสและกำจัด
Figure 9: NOD32 เริ่มต้นกระบวนการค้นหาไวรัสและกำจัด
โอเคร.. หลังจากที่เลือกตัวเลือกการค้นหาไวรัสแล้ว โปรแกรมก็จะทำการสแกนไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา และก็จะรายงานรายละเอียดต่าง ๆ ที่มันทำไป เช่นไฟล์ไหนเปิดไม่ได้ หรือสแกนส่วนไหนแล้วมีปัญหา หรือรายงานไวรัสพร้อมชื่อไวรัสที่เจอ เป็นต้น ทำให้เราสามารถเลือกต่อไปได้ว่าต้องการจะทำอย่างไรต่อไป

NOD32 การตั้งค่าไม่ให้สแกนโฟเดอร์ที่ต้องการ
Figure 10: NOD32 การตั้งค่าไม่ให้สแกนโฟเดอร์ที่ต้องการ
ความสามารถของ NOD32 นั้นเหลือเฟือจริง ๆ ในส่วนนี้ก็คือการตั้งค่าโฟเดอร์ที่เราไม่ต้องการให้โปรแกรมเข้าไปตรวจสอบได้ เผื่อบางครั้งเราอาจจะเก็บของดีต่าง ๆ เอาไว้ ก็ถือว่าเป็นออฟชั่นที่ให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ใช้งานสูงเลยทีเดียว, คุณเริ่มที่จะเทใจให้ NOD32 เหมือนผู้เขียนบ้างแล้วหรือยัง?

NOD32 แสดงหน้าต่างเมื่อตรวจเจอไวรัส
Figure 11: NOD32 แสดงหน้าต่างเมื่อตรวจเจอไวรัส
นี้เป็นตัวอย่างการรายงานว่า โปรแกรม NOD32 ได้ทำการตรวจพบไวรัส ซึ่งจะรายงานว่ามันอยู่ที่ไหน และมีตัวเลือกให้เรา ว่าเราจะทำอะไรกับมัน โดยจะมี 3 ตัวเลือกนั่นคือ
  1. กำจัด (แนะนำ) – ทำการกำจัดไวรัสนั้น ๆ ออกจากระบบการทำงาน
  2. ลบ (แนะน) – ทำการลบข้อมูลส่วนนั้นออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณไปเลย
  3. ไม่มีการทำงาน (ไม่แนะนำ) – ตัวเลือกนี้จะไม่มีการทำงานใด ๆ กับไฟล์นั้น บางครั้งมันก็ไม่ใช่ไวรัส เราก็เลือกตัวนี้ ซึ่ง โปรแกรม NOD32 ให้ความเป็นส่วนตัวกับเรามาก ๆ

ESET NOD32 Antivirus มาพร้อมกับ AntiSpyware
Figure 12: ESET NOD32 Antivirus มาพร้อมกับ AntiSpyware
โปรแกรม NOD32 นั้นได้พัฒนาไปไกลมากจริง ๆ นอกจากจะมี Antivirus แล้วและในเวอร์ชั่นปัจจุบัน ESET NOD32 Antivirus 5 ได้มีการบรรจุความสามารถในการป้องกันไวรัสแบบ Spyware เข้าไปด้วย หรือที่เป็นที่รู้จักกันว่า Anti Spyware เพราะว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นแหล่งแพร่กระจายไวรัสชั้นเลิศ จึงทำให้มีการป้องกันที่เข้มงวดมากกว่าเดิมหลายเท่า และนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์และข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์ของคุณนั่นเอง

NOD32 เครื่องมือป้องกันไวรัสที่หลากหลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น